มูลนิธิเพื่อเด็กพิการ

ไม่มีสัญญาณเตือน

“ถ้าน้องคลอดมาจะให้ชื่อ ชมพู่ เพราะแม่ชอบพี่ชมพู่ อารยา มากๆ เลย กะว่าถ้าโตขึ้นจะส่งประกวด (แม่แอบขำในใจ)”ตามใบนัดกำหนดคลอดเหลือเวลาอีก 3 อาทิตย์  จำได้ว่าแม่ก็ใช้ชีวิตปกติ ไม่มีสัญญาณเตือน ปวดใดๆ ทั้งสิ้น  จนถึงคืนนั้น…..

คืนที่แม่นั่งดูละครที่พี่ชมพู่ อารยา เล่น  อยู่ดีๆ ก็ปวดท้อง คล้ายอาการปวดปัสสาวะเหมือนทุกครั้ง  ระหว่างที่เดินเข้าห้องน้ำ น้ำคร่ำก็แตก พร้อมกับน้องก็หลุดตามออกมา แม่ตกใจมากๆ น้องร้องเสียงดัง ภาพที่เห็นคือเลือดไหลนองเต็มพื้นห้องน้ำ  แม่พยายามตั้งสติ อุ้มน้องออกมาจากห้องน้ำ และพยายามพาตัวเองไปเรียกเพื่อนบ้านห้องข้างๆ ให้ช่วยเรียกรถโรงพยาบาลให้

…1 ชั่วโมงผ่านไป กว่ารถโรงพยาบาลมาถึง พยาบาลทำความสะอาดตัวน้อง และทุกอย่างก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรผิดปกติกับน้อง  จนเวลาผ่านไป 6 เดือน  น้องเริ่มมีอาการชัก มีภาวะตัวเขียว ตาลอย และในที่สุดน้องก็ไม่สามารถขยับแขนขาได้ น้องนอนหงายท่าเดียวตลอดเวลา… พัฒนาการของน้องก็ไม่ดีขึ้น  แม่พาน้องไปหาหมอ เพื่อถามอาการและวิธีรักษา หมอบอกกับแม่ให้ทำใจ เพราะน้องมีความผิดปกติ หรือที่เรียกว่า “พิการ”  แม่จำได้ว่า คำนี้มันลอยเข้ามา พร้อมกับความว่างเปล่าในสมอง คือไม่รู้จะทำอย่างไร?? เกิดอะไรขึ้นกับตัวเรา?? กับครอบครัวเรา?? เวรกรรมอะไร?? และเราจะต้องทำอะไรในตอนนี้??

ทุกคนในครอบครัวรับไม่ได้..ครอบครัวเราไม่ได้ร่ำรวยอะไร แล้วการดูแลเด็กพิการคนนึงจะต้องมีอะไรมากมาย เราไม่มีปัญญาจ้างใครมาเลี้ยง เราจะช่วยลูกได้อย่างไร?? ทุกอย่างรอบตัว ดูเหมือนว่าจะมืดมัวไปหมด แม่จะต้องเริ่มต้นทำอะไรก่อนตอนนี้??? …

แม่พยายามตั้งหลัก หาทางเพื่อที่จะให้น้องมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ไม่มากก็น้อย  และแล้วโอกาสก็มาถึง วันนึงแม่ได้ดูรายการโทรทัศน์รายการนึง  มีการแนะนำเรื่องการฝึก ฟื้นฟูเด็กพิการให้กับผู้ปกครอง พ่อแม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง  พอเห็นแล้วก็รู้สึกฮึด!!  เกิดพลังบางอย่างที่อยากจะช่วยให้น้องได้ดีขึ้น แม่รีบจดเบอร์โทรศัพท์ของมูลนิธิที่สอนวิธีการฝึก และรีบติดต่อมาที่มูลนิธิทันที

จากวันนั้น…ถึงวันนี้ เวลาผ่านไป 6 ปีเต็ม มูลนิธิเพื่อเด็กพิการ ก็ยังเป็นมูลนิธิฯ ที่ให้ความช่วยเหลือในด้านความรู้ ทักษะการฟื้นฟูในรูปแบบต่างๆ เช่น กายภาพบำบัด นวดไทย โดสะโฮ สวนบำบัด ฯลฯ  ถ้าจะถามแม่ว่าน้องดีขึ้นหรือไม่?? สภาพจิตใจของแม่เป็นอย่างไร??  แม่ขอตอบได้เต็มปากว่า น้องชมพู่มีพัฒนาการที่ดีขึ้น น้องรับรู้การสื่อสารรอบๆ ตัว น้องพอขยับ หยิบจับอะไรได้บ้าง และที่สำคัญน้องมีความสุขกับทุกๆ วันที่อยู่กับครอบครัว เพื่อนๆ คุณครู ถึงแม่ว่าน้องจะนั่งเองไม่ได้  ทานข้าวเองไม่ได้ พูดไม่ได้ แต่แม่ก็รับรู้ว่าน้องชมพู่รักแม่ และทุกคน  และแม่ก็คิดว่าน้องคงรับรู้ได้เหมือนกันว่า “ทุกๆ คนรักน้องชมพู่เช่นกัน”

กำลังใจจากครอบครัว และทุกๆ คนรอบตัวเป็นสิ่งที่สำคัญมาก  เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้แม่เข้มแข็งต่อสู้ไปพร้อมกับน้องชมพู่ และพร้อมที่จะเป็นแม่พี่เลี้ยง แกนนำ ที่จะบอกต่อเพื่อนๆ ที่ตกอยู่ในสภาวะเดียวกันกับแม่ในอดีต และพร้อมจะก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยกัน “เพื่อลูก”

เนื้อเรื่อง : คุณแม่น้องชมพู่
เขียน / เรียบเรียง : อภิรดี   วานิชกร


ย้อนกลับ