มูลนิธิเพื่อเด็กพิการ

แม่ต้นแบบของลูกพิเศษ

แม่ต้นแบบของลูกพิเศษ

        ครอบครัวแม่ผึ้งน้องเอ็กซ์ ผ่านชีวิตอันยากลำบากล้มลุกคลุกคลานมาหลายครั้ง ทั้งด้านเศรษฐกิจที่ขัดสน และการจัดสรรเวลาในการรักษาดูแลน้องเอ็กซ์ที่ป่วยจนทำให้ร่างกายพิการมาแต่เกิด วันนี้ความสำเร็จของครอบครัวได้เริ่มขึ้น น้องเอ็กซ์ปีนี้อายุ 22 ปี เติบโตเป็นชายหนุ่มที่สามารถช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัว เข้ามาช่วยงานร้านเกาเหลาเลือดหมูของครอบครัวอย่างขยันขันแข็ง

จากเด็กพิการสู่ผู้ช่วยเหลือครอบครัว

        ทุกเช้าพ่อกับลูกชายคนพิเศษเดินเข็นรถ ส่วนแม่หิ้วสัมภาระบางส่วนตามหลังมาถึงทำเลที่ขาย จัดเก็บกวาดบริเวณทางเท้าก่อนจัดวางรถเข็น โต๊ะ เก้าอี้ น้องเอ็กซ์ช่วยจัดวางสิ่งของที่มีขนาดพอดีมือ เสร็จสรรพพ่อจัดแจงต้มน้ำซุปส่งกลิ่นหอมยั่วยวน ชวนให้ผู้ผ่านไปมาต้องแวะชิม แวะซื้อกลับบ้าน น้องเอ็กซ์ทำหน้าที่เป็นบริกรที่ดีทักทายลูกค้า รับออเดอร์ เชิญลูกค้านั่ง ช่วยเก็บถ้วยเก็บโต๊ะเก็บร้านได้ เก็บเงินที่เป็นธนบัตรได้ ส่วนที่เป็นเหรียญต้องให้แม่ช่วยเพราะหยิบจับไม่ถนัด แม่ผึ้งขายเกาเหลาต้มเลือดหมูในช่วงเช้า รายได้เฉลี่ยประมาณวันละ 300-500 บาท ช่วยกันประหยัดเก็บออมจนชีวิตดีขึ้น จากเมื่อก่อนที่ลำบากมีหนี้สินมาก

        “น้องเอ็กซ์คลอดก่อนกำหนด คลอดตอนอายุครรภ์แค่ 6 เดือน หนัก 1,350 กรัม ต้องอยู่ตู้อบนานเกือบเดือน สมองน้องขาดออกซิเจน และพออายุ 19 วัน ปอดบวมต้องรักษาเป็นแรมเดือนอีก น้องได้รับออกซิเจนมากจนมีปัญหาทางสายตา สายตาเอียง ก่อนหน้านี้ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเยอะ พ่อทำงานรับจ้างที่โรงกลึงคนเดียวเลี้ยงดู 5 ชีวิต ต้องซื้อข้าวสารเป็นมื้อๆ ยามว่างจากงานก็ตระเวณเก็บของเก่าขาย ช่วงนั้นน้องเอ็กซ์มีภูมิต้านทานต่ำมากต้องเข้าออกโรงพยาบาลบ่อย ฐานะทางเศรษฐกิจของเราก็ไม่ค่อยดี รายได้ไม่พอกับรายจ่าย บ่อยครั้งต้องหยิบยืมกู้เงินเพื่อจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่าเดินทาง อาหารการกิน”

          ระหว่างลูกนอนที่โรงพยาบาลแม่ผึ้งและพ่อต้องอดทน สู้เพื่อให้ลูกได้รับการดูแลรักษาที่ดีที่สุด ลำบากเพียงใดไม่เคยท้อ ไม่เคยบ่น ไม่เคยคิดถอย คิดเพียงขอให้วันข้างหน้าลูกดูแลตัวเองได้

ฟื้นฟูลูกอย่างมีวินัย

          ต่อมามีผู้มองเห็นความอดทนของแม่ พยาบาลที่รู้สึกเห็นใจช่วยประสานกับนักสังคมสงเคราะห์ และประสานงานเพื่อให้มูลนิธิเพื่อเด็กพิการเข้ามาช่วยเหลือ จนน้องเอ็กซ์ได้เข้าร่วมโครงการฟื้นฟูและพัฒนาเด็กพิการโดยชุมชน เมื่อปี 2542 ตอนที่อายุ 2 ขวบ 6 เดือน เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิเพื่อเด็กพิการมาเยี่ยมที่บ้านสอบถามและแนะนำการจดทะเบียนคนพิการ ติดตามช่วยเหลือเรื่องค่านม ค่าเดินทางไปฟื้นฟู ส่งแม่ผึ้งไปอบรมความรู้ในการฟื้นฟูลูก เมื่อมีความรู้แม่เขียวก็นำความรู้มาบำบัดฟื้นฟูลูกทุกวันอย่างสม่ำเสมอด้วยตนเองอีกทางหนึ่ง

          “ต้องให้เวลากับลูก แบ่งเวลาในการฝึกอย่างสม่ำเสมอ ตอนแรกตั้งเป้าใกล้ๆ เล็กๆ ว่าอยากให้ลูกทำอะไรได้ก่อน ลูกต่อต้านร้องกวน ต้องหาโอกาสที่ลูกอารมณ์ดี ใช้เทคนิคในการหยอกเล่น กระตุ้นด้วยอุปกรณ์ของเล่นที่ลูกชอบ ตั้งโปรแกรมการฝึกใช้ความต่อเนื่อง พูดคุยกับลูกทุกกิจกรรม กอดหอมแก้มให้กำลังใจ จนน้องเอ็กซ์มีพัฒนาการดีขึ้น จากไม่ยิ้มก็ยิ้มได้ หยิบจับของเล่นชิ้นใหญ่ๆ ได้ ทำตามคำสั่งได้ พออายุ 5 ขวบกว่าๆ เดินได้ พูดได้บางคำ แม้จะไม่ชัดเจนนัก หลายปีที่แม่อดทนพยายามฟื้นฟูบำบัด ลูกร้องไห้แม่ก็ร้องด้วย แม่คิดว่ายอมเจ็บตอนนี้ดีกว่าเจ็บตอนหลัง อยากสอนลูกให้ช่วยตัวเองให้มากที่สุด อนาคตข้างหน้าตั้งเป้าหมายอยากให้น้องเอ็กซ์ใช้ชีวิตอย่างอิสระได้”

ถึงเวลาเข้าโรงเรียน

        เมื่อน้องเอ็กซ์โตขึ้นอายุ 7 ขวบ แม่ผึ้งอยากให้ลูกไปโรงเรียน จึงไปปรึกษากับเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิเพื่อเด็กพิการ เพื่อหาโรงเรียนที่เหมาะสมให้กับน้องเอ็กซ์ ในช่วงนั้นพบว่าโรงเรียนบางแห่งที่อยู่ใกล้บ้านไม่ยอมรับน้องเอ็กซ์ ท้ายสุดโรงเรียนแห่งหนึ่งก็เปิดโอกาสให้ได้เข้าเรียน โดยเป็นโอกาสที่มาจากคำพูดซื่อๆ ของน้องเอ็กซ์ที่ถามว่า

        “ผงมาที่นี่จะรับผงไหมคับ”

        น้องเอ็กซ์พยายามพูดช้าๆ ชัดๆ ถามผู้อำนวยการโรงเรียน จนในที่สุดโรงเรียนรับด้วยความยินดี จัดระบบพี่เลี้ยงช่วยดูแลน้องเอ็กซ์ น้องเอ็กซ์สามารถเรียนจนอ่านออกเขียนได้ โดยมูลนิธิเพื่อเด็กพิการสนับสนุนทุนการศึกษา 3 ปี

          “ตอนนั้นยอมบากหน้าตระเวณหาโรงเรียน หลายแห่งก็ได้รับการปฏิเสธ แต่เรามีความพยายามไม่ลดละ จนครูผู้บริหารโรงเรียนมีเมตตาเปิดโอกาสให้เด็กพิเศษได้เข้าเรียน น้องเอ็กซ์เรียนจนจบชั้นประถมปีที่ 6 สามารถอ่านเขียนได้ ช่วยตัวเองได้ ช่วยเหลืองานพ่อแม่ได้”

        ด้านเศรษฐกิจของครอบครัว มีการส่งเสริมอาชีพ มอบทุนก้อนหนึ่งซื้อรถเข็นพร้อมอุปกรณ์ขายเกาเหลา ซึ่งร้านขายเกาเหลานี้มีน้องเอ็กซ์เป็นผู้ช่วยเหลือที่ดีอย่างมีความสุข

          “ขอบคุณมูลนิธิเพื่อเด็กพิการที่ช่วยเหลือ ตอนนั้นท้อแท้มากถึงขั้นคิดสั้น หลังได้รับการส่งเสริมอาชีพช่วงแรกๆ คนไม่รู้จัก ขายได้น้อย ไม่ได้กำไร พ่อต้องไปทำงานรับจ้างเพื่อช่วยเพิ่มรายได้ ตอนนี้ร้านเริ่มขายดีขึ้น พ่อก็ลาออกมาช่วยขาย ทำให้พออยู่พอกิน มีชีวิตที่ดีขึ้น”

ลูกรู้สึกถึงคุณค่าของตนเอง

          ด้านน้องเอ็กซ์แม้จะพูดได้ไม่ชัดถ้อยชัดคำ แต่สามารถสื่อสารได้ดี เขาพยายามพูดคุยสื่อภาษารักจากใจให้พ่อแม่ได้รับรู้ความรู้สึกของตนเอง คำพูดของน้องเอ็กซ์เป็นคำพูดของคนที่รู้ซึ้งถึงคุณค่าของตนเอง รู้ซึ้งถึงสิ่งที่พ่อแม่ตั้งใจบากบั่นเพื่อลูก เขาจึงตั้งใจช่วยเหลือเพื่อไม่สร้างภาระให้กับครอบครัว

        “ผมอยากช่วยตัวเองให้มากๆ ผมภูมิใจที่ช่วยพ่อกับแม่ทำงาน ผมมีความสุข สบายใจ ชอบช่วยทุกวัน ขอบพระคุณแม่มากครับที่ทำให้ชีวิตผมดีขึ้น แม่ให้โอกาส แม่บากบั่นเพื่อผม ผมรู้สึกดี รู้สึกชีวิตผมมีคุณค่า มีศักดิ์ศรี มีที่ยืนในสังคม ทุกคนในบ้านรักและเข้าใจ ผมรักทุกคนครับ”

          ในแต่ละวันแม่ผึ้งยังให้น้องเอ็กซ์หยอดกระปุกวันละสี่สิบบาท เพื่อเก็บออมเงินไว้เลี้ยงดูตนเองในอนาคต ยามเมื่อพ่อแม่แก่เฒ่าทำงานไม่ไหวจะได้ไม่เป็นภาระของพี่น้อง แม่ช่วยคิดวางแผนอย่างรอบคอบเพื่อน้องเอ็กซ์ แม่ได้สร้างโอกาสอย่างบากบั่นเพื่อลูก ปูทางสร้างชีวิตที่ดีให้กับลูก แม่ผึ้งเป็นแม่ตัวอย่าง ต้นแบบของการดูแลลูกพิเศษ โดยมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก เพื่อเติมเต็มความหวังความฝันของลูกที่ต้องการช่วยเหลือตนเอง ไม่ต้องการเป็นภาระของใคร ซึ่งเป็นความหวังความฝันอันเรียบง่ายของผู้พิการจำนวนมากในสังคม

ภาพจาก : https://salon-akane.com/2017/07/15/soudanaitewomotou/


ย้อนกลับ