มูลนิธิเพื่อเด็กพิการ
‘สวนบำบัด’ ดอกไม้ในสวน ธรรมชาติในใจ และการพัฒนาคนพิการ
‘สวนบำบัด’ ดอกไม้ในสวน ธรรมชาติในใจ และการพัฒนาคนพิการ
ปัจจุบัน ความรู้ในการบำบัดและฟื้นฟูคนพิการและผู้สูงอายุมีหลากหลายรูปแบบมากขึ้น แน่นอนว่าเป็นเรื่องดี เพราะการบำบัดและฟื้นฟูแต่ละประเภทอาจเหมาะกับบริบทและผู้รับการบำบัดแตกต่างกันไป
ในประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ‘การบริการฟื้นฟูสมรรถภาพโดยกระบวนการทางการแพทย์และค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ค่าอุปกรณ์ เครื่องช่วยความพิการ และสื่อส่งเสริมพัฒนาการสําหรับคนพิการ พ.ศ.2552’ จึงมีการสนับสนุนการบริการไว้ถึง 26 ประเภท อย่างไรก็ตาม มูลนิธิเพื่อเด็กพิการพยายามผลักดันอีกหนึ่งบริการเข้าไปเป็นบริการที่ 27 กิจกรรมนี้เรียกว่า ‘สวนบำบัด’
เมื่อ ‘สวน’ เริ่มต้นที่ดอกไม้ 1 ดอก
เมื่อได้ยินคำว่า สวนบำบัด เชื่อว่าความคิดแรกที่ปรากฏคงเป็นภาพสวนที่มีต้นไม้ใหญ่เล็กประดับประดา มีสนามหญ้ากว้างๆ ไว้ทำกิจกรรมต่างๆ นพ.ประพจน์ เภตรากาศ ประธานมูลนิธิเพื่อเด็กพิการ กล่าวว่า ถ้ามีพื้นที่สวนดังว่าก็นับเป็นเรื่องดี แต่ถ้าไม่มีก็ไม่ใช่อุปสรรค
นพ.ประพจน์ อธิบายเพิ่มเติมว่า สวนบำบัด มีองค์ประกอบอยู่ 3 ส่วนใหญ่ๆ ประการแรก ต้องมีต้นไม้ ถ้าเป็นสวนจะให้ความรู้สึกที่ค่อนข้างดีกว่า แต่ถ้าไม่มีก็อาจเป็นต้นไม้สักกระถางสองกระถาง กล่าวคือต้องมีองค์ประกอบของต้นไม้ใบหญ้า
องค์ประกอบที่ 2 ต้องมีผู้ที่ทำกิจกรรมพัฒนาและบำบัดได้ ซึ่งอาจจะเป็นนักสวนบำบัด ครู หรือครอบครัวของคนพิการ
และองค์ประกอบสุดท้าย คือความรู้ในการทำกิจกรรม เช่น การประเมินความพิการเพื่อจัดกิจกรรมสวนบำบัดที่จะสนองตอบความต้องการของเด็ก และเมื่อกิจกรรมจบก็สามารถประเมินผลกิจกรรมได้
“เริ่มแรก สวนบำบัดใช้รักษาผู้ป่วย โดยเฉพาะในอเมริกาเขาใช้รักษาทหารผ่านศึก ผู้ป่วยทางด้านจิตเวช เพราะเมื่อมาทำธรรมชาติบำบัดเกี่ยวกับพืชและสวน เขาจะรู้สึกผ่อนคลายและช่วยรักษาได้ แทนที่จะใช้ยาเพียงอย่างเดียว
“เวลาที่เราทำกิจกรรมสวนบำบัด เราอาจนำส่วนหนึ่งของสวนมาใช้ เช่น การปลูกผัก เพาะถั่วงอกในขวด ในกระถางเล็กๆ เราก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของสวน ไม่จำเป็นต้องเข้าไปอยู่ในสวนทั้งหมด อาจจะเป็นแค่ไม้ประดับ ไม้ดอก ผัก หรือแม้กระทั่งใบไม้หนึ่งใบ กิ่งไม้หนึ่งกิ่ง”
กิจกรรมสวนบำบัด
ในต่างประเทศ ‘นักพืชสวนบำบัด’ ต้องผ่านการเรียนหลักสูตรปริญญาโท มีความเข้าใจจิตวิทยาพัฒนาการเด็ก ความรู้ทางวิทยาศาสตร์พื้นฐาน เรียนรู้ความพิการประเภทต่างๆ ซึ่งในไทยเวลานี้ยังไม่มีนักพืชสวนบำบัดในลักษณะที่ว่า ทั้งยังต้องใช้เวลาและต้นทุนสูงจึงอาจไม่ทันกับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น
มูลนิธิเพื่อเด็กพิการจึงเน้นการนำความรู้ด้านสวนบำบัดในแบบที่เข้าใจง่ายและสามารถนำไปประยุกต์ได้จัดอบรมให้ครูและครอบครัวเด็กพิการก่อนเป็นเบื้องต้น
“เรามองว่าการจะพึ่งตนเองได้ต้องใช้ครอบครัวของเด็กพิการ ใช้พี่เลี้ยง ครู บุคลากรที่มีอยู่ในชุมชนเพราะพื้นฐานของเราเป็นเกษตรกรรมอยู่แล้วเราเพียงเพิ่มความรู้เรื่องเด็ก เรื่องพัฒนาการ เรื่องความพิการก็สามารถทำกิจกรรมสวนบำบัดได้เพราะมันไม่ได้ซับซ้อนมาก ไม่มีอันตรายต่อเด็ก คนพิการ หรือผู้สูงอายุ อย่างน้อยการทำกิจกรรมส่วนบำบัดก็ช่วยให้คนกลุ่มนี้เกิดความเพลิดเพลิน ความผ่อนคลาย ได้ทำกิจกรรมรวมกลุ่มแต่ถ้าเราจะเพิ่มพัฒนาการ เราก็ใส่ความรู้เข้าไปอีกนิดหน่อย เพิ่มตัวชี้วัดว่า จะประเมินความพิการอย่างไร จะประเมินว่าได้ผลหรือไม่ได้ผลอย่างไร ก็จะมีแบบประเมินง่ายๆ ไม่ซับซ้อน เพื่อประเมินว่ากิจกรรมนี้ช่วยพัฒนาการด้านไหนของเด็ก” นพ.ประพจน์ กล่าว
ยกตัวอย่างเช่นการประเมินความพร้อมหรือปัญหาของเด็ก เพื่อจัดกิจกรรมสวนบำบัดให้ตอบโจทย์ของเด็กคนนั้น เช่น เด็กคนนี้ยืนได้หรือเปล่า นั่งได้หรือไม่ ใช้มือหยิบจับได้ไหม สายตามองเห็นได้ สัมผัสได้ รับคำคำสั่งง่ายๆ ได้หรือไม่ แล้วจึงเลือกกิจกรรมส่วนบำบัด ถ้าเด็กคนนี้ต้องการฝึกการเคลื่อนไหว การนั่ง การยืน ก็จะหากิจกรรมที่ทำให้เด็กได้ยืนซึ่งอาจต้องทำสวนผักแนวตั้งเพื่อให้เกิดการยืนทำกิจกรรม แต่ถ้าเด็กมือไม่ค่อยมีแรงหรือหยิบจับ ก็อาจทำกิจกรรมศิลปะจากใบไม้เพื่อให้เกิดการหยิบจับ เป็นการฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็กที่มือ หลังจากนั้นจึงประเมินว่าเด็กทำได้หรือไม่ เพื่อสร้างกิจกรรมต่อไปที่สามารถฝึกเพิ่มขึ้น เป็นต้น
![](https://fcdthailand.org/wp-content/uploads/2020/10/50402019436_94f4b8ce6e_h-1-300x169.jpg)
ชื่นชมดอกไม้ร่วมกัน
ผู้ปกครองเด็กพิการตระหนักดีว่า ต้นทุนในการพาเด็กไปโรงพยาบาลเพื่อรับการบำบัดนั้นค่อนข้างสูง ทัศนี สิงห์ทอง ผู้ปกครองเด็กพิการ เล่าว่า เมื่อก่อนเธอต้องจ่ายค่าแท็กซี่ไป-กลับครั้งละไม่ต่ำกว่า 400-500 บาท แต่ความรู้ด้านสวนบำบัดที่เธอได้รับผ่านการอบรมช่วยให้เธอสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ ใช้เวลาทำกิจกรรมเพื่อสร้างพัฒนาและบำบัดลูกสาวของเธอได้เต็มที่
ทัศนีย์ยอมรับว่า เมื่อเข้าอบรมแรกๆ เธอไม่ค่อยเข้าใจ นึกถึงแต่การปลูกต้นไม้ ทำสวน จนเมื่อผ่านการอบรม ความเข้าใจเธอจึงเปลี่ยนไป
“มันคือการเอาธรรมชาติมาบำบัด ไม่ได้เกี่ยวว่าเราต้องปลูกต้นไม้หรือรอดูผลผลิต ไม่ใช่เฉพาะแค่สวน แต่เป็นธรรมชาติที่อยู่รอบข้างเราทั้งหมด มันทำให้เรามองรอบข้างตัวเองมากขึ้น จากแต่ก่อนเป็นคนที่ไม่ค่อยสังเกตอะไร เดินผ่านต้นไม้ต้นนี้ทุกวัน ทำไมเราไม่เคยสังเกตเห็นดอกของมัน ทำไมเราไม่เคยสังเกตว่าดอกมันสวย พอเราได้เข้าอบรม เราอยากมองต้นไม้อยากมองดอกไม้ มันสวยนะ ทำให้เราสังเกตสิ่งรอบตัวมากขึ้น เอาธรรมชาติที่อยู่ข้างกายเราที่เดินผ่านทุกวันมาชื่นชมทำให้เราใจเย็นขึ้น ยืดหยุ่นขึ้น”
เธอเล่าอีกว่า ด้วยข้อจำกัดที่ที่พักของเธอมีพื้นที่ไม่มาก เธอใช้วิธีปลูกต้นไม้ ดอกไม้เล็กๆ ไว้ในกระถาง เวลาจัดแจกันไหว้พระก็ชวนลูกของเธอมาช่วยจัด ได้สัมผัส ได้ฟังเสียงนกร้อง ซึ่งเป็นสิ่งแปลกใหม่ทั้งต่อลูกและตัวเธอ ยามที่มีนกมาเกาะ เธอและลูกรับรู้ร่วมกันกับสิ่งแปลกใหม่เหล่านี้
“เราสัมผัสได้ว่าเขารู้สึก เขายิ้ม เขาดีใจที่ได้รู้สิ่งใหม่ๆ น้องเขาตอบสนองกับเรามากขึ้น ใช้มือมากขึ้นอาจเป็นเพราะเราฝึกเขาหลายๆ อย่าง เรากายภาพเขาด้วย แล้วเราก็ให้เขาได้หยิบจับกับเรามากขึ้น ช่วยเราหยิบโน่น ช่วยเราจับนี่ มันก็เลยกระตุ้นให้เขารู้สึกว่าอยากจับและจับได้นานขึ้นจากที่ไม่จับเลย
“เราว่าเราได้เยอะกว่าลูกอีก” ทัศนีย์พูดพร้อมกับหัวเราะ “เราเข้าใจที่ครูบอกว่าผู้ดูแลก็สำคัญ ลูกก็รับรู้จากเราว่าเราโอเคไหม เรามีความรู้สึกอะไร ยังไง ถ้าเราอารมณ์ดี ลูกก็สัมผัสได้ ซึ่งมันก็ใช่ พอเราไม่เครียด ลูกเราก็พลอยได้รับอานิสงส์ อารมณ์ดีไปด้วย อย่างเวลาเราพาลูกไปสวน เราก็คุยกับลูกว่าดูสิลูกมีผีเสื้อด้วย มีดอกไม้สวยด้วย ซึ่งแต่ก่อนเราไม่เคยมีแบบนี้เลย คือพาลูกมาก็มาแบบตั้งหน้าตั้งตามาเลย แต่พอได้เข้าสวนแล้วเรารู้สึกว่าได้พาลูกมองข้างๆ มีเวลากับลูกมากขึ้น มีเวลาผ่อนคลายมากขึ้น”
![](https://fcdthailand.org/wp-content/uploads/2020/10/50402019191_a15ef3e6c3_h-300x169.jpg)
คุณลุงนักจัดดอกไม้
นอกจากการนำกิจกรรมสวนบำบัดไปใช้ในครอบครัวแล้ว สิ่งนี้ยังถูกนำไปขยายผลต่อตามโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อใช้ดูแลผู้ป่วย ผู้สูงอายุ และคนพิการ เช่นกรณีโรงพยาบาลลับแล อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่มีวสุวพิชญ์ ซ้อมจันร์ทรา ทำหน้าที่เป็นนักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ ผู้เข้าอบรมสวนบำบัดและนำกระบวนการไปใช้
“กระบวนการในการบำบัดใช้ได้กับคนที่มาทำกลุ่มคนอย่าง อสม. เริ่มตั้งแต่การขุดดิน การเตรียมแปลงก็จะมีปฏิสัมพันธ์กันในเครือข่าย ช่วยเยียวยาความรู้สึกของเรา ทุกวันพุธเวลามาตลาด เครือข่ายทุกคนก็จะไปเยี่ยมชมแปลงทำให้เห็นกระบวนการเปลี่ยนแปลง
“อีกอันหนึ่งคือเอาไปใช้ในเรื่องผู้สูงอายุในชุมชน เราไปชวนเขาจัดดอกไม้ เพาะกล้าอ่อน และช่วยกันทำที่ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุและคนพิการของ อบต. เป็นกิจกรรมหนึ่งที่เรานำไปแทรกในกลุ่มของผู้สูงอายุที่มาโรงเรียนผู้สูงอายุ
“มีคุณลุงคนหนึ่งไม่เคยจัดดอกไม้เลยเพราะเข้าใจว่าการจัดดอกไม้เป็นเรื่องของผู้หญิง หลังจากที่ใช้กระบวนการนี้ คุณลุงก็มีความรู้สึกเปลี่ยนไปจากเดิม คือรู้สึกมีความสุข ได้มองเห็นหลายๆ มุมของดอกไม้และรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า การจัดดอกไม้ไม่ใช่เรื่องของผู้หญิง ตัวเราก็สามารถทำได้ แล้วคุณลุงก็ไปจัดดอกไม้ที่บ้านโดยเอาดอกไม้ข้างบ้านมาใส่แจกันไว้ จะกินข้าวก็เอามาวางไว้ข้างๆ ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยมี คุณลุงเขาก็รู้สึกมีความสุขมากขึ้น แล้วก็อยากไปเชิญชวนเพื่อนมาจัดด้วย”
![](https://fcdthailand.org/wp-content/uploads/2020/10/50402018911_257520a82a_h-300x169.jpg)
อนาคตของสวนบำบัด
ปัจจุบัน กิจกรรมสวนบำบัดในไทยมีกระจายตัวอยู่ประมาณ 30-40 แห่ง โดยเฉพาะในศูนย์บริการคนพิการ โรงพยาบาล หรือเครือข่ายของผู้ปกครองเด็กพิการ
นพ.ประพจน์ กล่าวว่า อยากให้ทางกระทรวงสาธารณสุขประกาศให้สวนบำบัดเป็นอีกหนึ่งบริการ เพื่อให้เกิดการสนับสนุนและจัดบริการขึ้นในสถานบริการสาธารณสุขที่มีความพร้อม โดยการประกาศนี้จะมีความสำคัญ 2 ระดับ ระดับที่ 1 คือกระทรวงสาธารณสุขเห็นความสำคัญว่ากิจกรรมสวนบำบัดเป็นกิจกรรมที่สามารถฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการได้และสามารถเข้าถึงได้
ระดับที่ 2 ขณะนี้ศูนย์บริการคนพิการทั่วไปที่จัดตั้งขึ้นภายใต้ พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 กำหนดให้มีการจัดตั้งศูนย์บริการคนพิการ ขณะที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ก็ตกลงร่วมกันและยอมรับว่าศูนย์บริการคนพิการทั่วไปถือเป็นสถานบริการสาธารณสุขประเภท 1 ของ สปสช.
“ดังนั้น ถ้ากระทรวงสาธารณสุขยอมรับกิจกรรมสวนบำบัดก็จะเป็นรูปนโยบายใหญ่ว่า ต่อไปถ้าศูนย์บริการผู้พิการจะจัดกิจกรรมสวนบำบัดก็ต้องจัด เพราะเป็นนโยบายของกระทรวงและขณะเดียวกันศูนย์บริการก็เป็นสถานบริการสาธารณสุขที่ สปสช. รับรองด้วย ก็จะเกิดความร่วมมือของทั้งสามส่วน”
สิ่งนี้อาจเป็นบันไดขั้นแรกๆ เพื่อใช้ในการศึกษาประสิทธิภาพและความคุ้มทุนของกิจกรรมสวนบำบัด ก่อนบรรจุเป็นส่วนหนึ่งของชุดสิทธิประโยชน์ของ สปสช. ในอนาคต
ขอบคุณ : https://thisable.me/content/2020/10/661