มูลนิธิเพื่อเด็กพิการ

คุณแม่หัวใจแกร่ง

คุณแม่หัวใจแกร่ง

แม่ก้อย คุณแม่ที่ดูแลลูกน้อยพิการโดยใช้ความรักในหัวใจเป็นเข็มทิศนำทางในการดำเนินชีวิต ด้วยความคิดที่ว่าลูกคือดวงใจของแม่ แม้ว่าลูกจะเป็นเช่นไร ด้วยเหตุผลใดก็ตาม แม่ก็รักลูกเสมอ รักอย่างไม่มีเหตุผล ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน แม่ก้อยจึงพยายามก้าวเดินต่อไป ยอมทำทุกอย่างเพื่อลูก โดยมีครอบครัวเป็นกำลังสำคัญที่สู้ไปด้วยกัน เพื่อให้น้องดาว ลูกสาวตัวน้อยสุดที่รัก แก้วตาดวงใจของพ่อแม่สามารถเติบโตมีพัฒนาการที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

 

น้องดาวเป็นลูกสาวคนที่สองของครอบครัว น้องดาวคลอดปกติที่โรงพยาบาล น้ำหนักปกติ 3,280 กรัม คุณแม่ฝากครรภ์ตามเกณฑ์ อายุครรภ์ครบกำหนด แรกคลอดร้องเสียงดังแก้มเป็นพวงชมพูเหมือนเด็กปกติทุกอย่าง จนกระทั่งคุณแม่สังเกตเห็นความผิดปกติเมื่อลูกอายุได้ 4-5 เดือน และต่อมาได้เข้ากลุ่มฟื้นฟูของโรงพยาบาล เพื่อบำบัดฟื้นฟูลูกร่วมกับครอบครัวอื่นๆ ที่มีลูกพิการเช่นกัน

“วินาทีชีวิตที่ลูกลืมตาดูโลก แม่สุดแสนจะดีใจ ลูกแม่ช่างน่ารักสุดๆ จนเริ่มสังเกตอาการผิดปกติตอนอายุ 4-5 เดือน ลูกชอบนอนหงายท่าเดียว ไม่พลิกคว่ำ ไม่ชันคอ ไม่สบตา ไม่ยิ้ม พอลูกอายุ 6 เดือนแม่เลยพาไปปรึกษาคุณหมอครั้งแรก สอบถามเกี่ยวกับอาการผิดปกติ หมอนัดมาตรวจฟื้นฟูบำบัดต่อเนื่อง จนอายุ 1 ปีครึ่ง หมอส่งตัวไปรักษาต่อไปอีกโรงพยาบาลสัปดาห์ละสองครั้ง ช่วงนั้นมีปัญหาการเดินทางและเหนื่อยล้า ลูกก็งอแงมากไม่ให้ความร่วมมือในการฝึก จนโรงพยาบาลมีนักกิจกรรมบำบัด น้องดาวเลยได้รับการฝึกสม่ำเสมอ และได้เข้ากลุ่มฟื้นฟู เป็นกลุ่มครอบครัวเด็กพิการที่มาพบปะ และฟื้นฟูลูกไปด้วยกันเป็นประจำทุกเดือนที่โรงพยาบาล”

 เพื่อนที่เดินไปด้วยกัน

จากความว้าเหว่เดียวดาย เคยรู้สึกว่าสังคมมองตนเองแบบแปลกๆ มองด้วยความเวทนาสงสาร ซึ่งทำให้แม่ก้อยรู้สึกเป็นปมด้อย เพราะครอบครัวไม่ต้องการให้สังคมมองแบบนั้น ไม่ต้องการความสงสารจากใคร อยากให้ทุกคนมองครอบครัวตนเองเหมือนครอบครัวปกติทั่วไป หลังเข้ากลุ่มฟื้นฟูความรู้สึกที่เป็นปมด้อยเช่นนั้นดีขึ้น เริ่มมองเห็นสัจธรรมของชีวิต เห็นครอบครัวหลากหลายที่อยู่รวมกันแบบเข้าใจกัน ไม่มีใครมีปมด้อย มองตาก็เข้าใจ รู้ใจกัน มีความเอื้ออาทรต่อกันที่สัมผัสได้ โดยเฉพาะสิ่งสำคัญคือ ทุกคนในกลุ่มมีความเชื่อว่า มีลูกพิการไม่ได้เป็นภาระหรืออุปสรรค แต่เป็นความโชคดีที่ได้เรียนรู้วิชาชีวิต “คน” สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตอย่างไม่ประมาท เข้าใจความคิดความรู้สึก เข้าใจคนอื่น และสามารถปรับตัวได้

เคล็ดลับในการฝึกลูก

แม่ก้อยบอกว่าการฝึกลูกพิเศษต้องใช้ความอดทน ใจเย็น ฝึกแบบประจำสม่ำเสมอ ทำซ้ำๆ ทำบ่อยๆ จนเกิดความเคยชิน ทำหนึ่งร้อยครั้งอย่าเพิ่งหวังว่าจะสำเร็จตามเป้าหมาย ต้องเริ่มหวังในการฝึกพันครั้ง หากพลาดหวังก็ไม่ท้อถอย เพราะวันหนึ่งผลการฝึกจะแสดงออกมาให้เห็น เนื่องจากสมองของเด็กต้องใช้เวลาในการเก็บบันทึกจดจำ และนำกลับแปลผลมาใช้

“เคล็ดลับในการฝึกลูกไม่มีอะไรมากตอนที่ฝึก ถ้าลูกอารมณ์ ไม่ดีหยุดทันที ถ้าอารมณ์ดีฝึกต่อวันละหลายๆ ครั้ง เราได้รับความรู้จากหมอที่ฝึกให้แค่ 10 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลืออีก 90 ต้องมาฝึกลูกต่อที่บ้าน เช่น ฝึกการกิน ให้ลูกจับสัมผัสอาหาร ให้จับกินเองไม่ป้อนให้ลูก ทุกอย่างให้ลูกช่วยตนเอง แล้วแม่ต้องคิดบวก โชคดีที่ได้กำลังใจจากครอบครัวและญาติๆ เป็นแรงขับเคลื่อนที่ดีมากในการเสริมกำลังใจ ทำให้เราทำได้ไม่เหน็ดเหนื่อย เมื่อไหร่ที่ลูกส่งยิ้มให้มา แม้ไม่ทราบความหมายแต่แม่คิดว่ามีความหมายเสมอ คิดว่าแม่จะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ในเมื่อพระเจ้ามอบความไว้วางใจให้ลูกมาเกิดในชาตินี้ ลูกจงพยายาม ขอให้ลูกสู้ไปกับแม่”

ก้าวแรกของลูก

หลังจากความพยายามนานนับปีทุ่มเทเพื่อดูแลและฟื้นฟูลูก แม่ก้อยรู้สึกดีใจที่สุดในชีวิต เมื่อน้องดาวลุกขึ้นยืนและก้าวเดินครั้งแรกเมื่ออายุ 5 ปี

“พอลูกเดินได้ บอกทุกคนที่มาเยี่ยม บอกหมอ บอกเพื่อนๆ ในกลุ่ม รู้สึกตื่นเต้นดีใจมากที่ลูกเดินได้ น้องดาวเก่งขึ้นมาก จากที่เคยคิดว่าน้องจะเดินไม่ได้แล้ว พอเดินได้จากที่ร้องกวนงอแง เข้าร่วมกิจกรรมกับเพื่อนไม่ได้ น้องดาวเริ่มเรียนรู้กฎกติกา ไม่ต่อต้าน เรียนรู้เข้าสังคมได้ดีขึ้น ไม่ต้องบังคับ ลูกปรับตัวได้”

 

ความสุขเกิดขึ้นเมื่อปล่อยวางได้

ต่อมาแม่ก้อยตัดสินใจมีลูกอีกคนทั้งที่ส่วนลึกในใจยังกังวล จนคุณพ่อน้องดาวให้กำลังใจว่าลูกคนโตก็ปกติดี ควรปล่อยวาง หากกังวลมากเกินไป ชีวิตจะยุ่งยากและเหนื่อยล้าโดยใช่เหตุ

“พอเริ่มท้องน้องอีกคนก็พูดคุยกับน้องดาวตลอด แม่จะมีน้องไว้เป็นเพื่อนคอยดูแลเป็นเพื่อนเล่น แต่แม่รักน้องดาวเหมือนเดิม แม่รักลูกทุกคน บอกทุกอย่างให้ลูกฟัง ให้ลูกได้รับรู้ บอกทุกครั้งที่ลูกมีท่าทางสงสัยเพื่อให้ยอมรับและปรับตัว พอมีน้องแล้วน้องดาวเลยไม่อิจฉาน้อง รักน้อง หอมแก้มน้อง ตอนนี้คิดว่ามีลูกเพียงสามคนก็พอแล้ว จะได้มีเวลาดูแลลูกอย่างมีคุณภาพ”

แม่ก้อยและครอบครัวพึงพอใจกับชีวิตในปัจจุบัน พออยู่พอกินด้วยการประกอบอาชีพค้าขายน้ำเต้าหู้ในมหาวิทยาลัยและในโรงพยาบาลใกล้บ้าน โดยแม่ก้อยกล่าวทิ้งท้ายว่า ความสุขความสบายใจ ความพอใจอยู่ที่ตัวเรา เมื่อเราปล่อยวาง และยอมรับเรื่องราวต่างๆ ได้ ชีวิตก็เป็นสุข


ย้อนกลับ